ในร่างกาย กรดไขมันทำหน้าที่เป็นพลังงานสำหรับกล้ามเนื้อ หัวใจ และอวัยวะอื่นๆ กรดไขมันยังสามารถใช้เป็นพลังงานสำรองได้อีกด้วย กรดไขมันมีหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือกรดไขมันโอเมก้า 3
กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันชนิดหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกายในการเผาผลาญ น่าเสียดายที่กรดไขมันเหล่านี้ไม่ได้ผลิตโดยร่างกาย เราจึงต้องได้รับจากอาหาร นอกจากกรดไขมันโอเมก้า 3 แล้ว ยังมีกรดไขมันโอเมก้า 6 และกรดไขมันโอเมก้า 9 อีกด้วย กรดไขมันทั้งสามชนิดนี้มีหน้าที่ต่างกันแต่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
แหล่งธรรมชาติของกรดไขมันโอเมก้า
แหล่งอาหารของกรดไขมันโอเมก้าแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภท กรดไขมันโอเมก้า 3 ส่วนใหญ่พบในน้ำมันประเภทต่างๆ เช่น น้ำมันปลา น้ำมันพืช น้ำมันอาร์แกน,น้ำมันคาโนลาและน้ำมันลินสีด นอกจากนี้ กรดโอเมก้า 3 ยังสามารถพบได้ในปลาประเภทต่างๆ เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาดุก และปลาทูน่า นอกจากนี้ยังมีอาหารประเภทอื่นๆ เช่น กุ้ง หอย และผักโขมที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3
ในขณะเดียวกัน กรดไขมันโอเมก้า 6 สามารถพบได้ในน้ำมันถั่วเหลือง ทานตะวัน ปาล์ม เมล็ดฝ้าย และน้ำมันข้าวโพด
สุดท้ายกรดไขมันโอเมก้า 9 กรดไขมันเหล่านี้พบได้ในน้ำมันมะกอกและน้ำมันจากสัตว์ กรดไขมันโอเมก้า 9 ชนิดนี้ถือว่ามีความสำคัญน้อยที่สุดในบรรดากรดไขมันโอเมก้าอีกสองประเภท
รู้จักหน้าที่ของกรดไขมันโอเมก้า
กรดไขมันโอเมก้าแต่ละชนิดมีหน้าที่ต่างกัน โดยรวมแล้ว หน้าที่ของกรดไขมันโอเมก้า 3 คือมีบทบาทในการบำรุงหัวใจ สมอง และการเผาผลาญ อย่างไรก็ตาม กรดไขมันโอเมก้า 3 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท และแต่ละชนิดมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกาย กล่าวคือ
- กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) มีบทบาทในการพัฒนาสมองและทำให้สมองทำงานได้ตามปกติ
- กรด Eicosapentaenoic (EPA) มีผลต่อร่างกายคือช่วยลดการอักเสบและลดอาการซึมเศร้า
- กรดอัลฟาไลโนเลนิก (ALA) ใช้เป็นพลังงาน ALA สามารถแปลงเป็น DHA หรือ EPA ได้
ในขณะเดียวกัน กรดไขมันโอเมก้า 6 เป็นแหล่งพลังงานและช่วยรักษาอาการของโรคเรื้อรัง กรดไขมันเหล่านี้มีบทบาทในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันตราบใดที่บริโภคในปริมาณที่เหมาะสม หากบริโภคมากเกินไปจะทำให้เกิดการอักเสบหรืออักเสบได้
นอกจากกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 แล้ว ยังมีกรดไขมันโอเมก้า 9 อีกด้วย เมื่อเทียบกับกรดไขมันโอเมก้า 2 ตัวอื่นๆ กรดไขมันโอเมก้า 9 ถือว่ามีความสำคัญน้อยที่สุดและร่างกายสามารถผลิตได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่บริโภคกรดไขมันโอเมก้า 9 เป็นประจำสามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ 19 เปอร์เซ็นต์ และระดับคอเลสเตอรอลได้ 22 เปอร์เซ็นต์
ประโยชน์ของการบริโภคกรดไขมันโอเมก้า
การบริโภคกรดไขมันโอเมก้ามีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะต่อสุขภาพ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 สามารถป้องกันปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น ภาวะสมองเสื่อมหรือการทำงานของสมองในผู้สูงอายุลดลง (ผู้สูงอายุ) กรดไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยปรับปรุงความจำในผู้สูงอายุ
สำหรับทารก มีประโยชน์อย่างน้อยสองประการของกรดไขมันโอเมก้า 3 คือช่วยลดอาการหอบหืดและช่วยพัฒนาสมองในทารก
การบริโภคกรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่สามารถช่วยเอาชนะปัญหาสุขภาพหรือช่วยในกระบวนการบำบัด เช่น
- ช่วยลดรอบเอวและรักษาน้ำหนัก
- ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังเพราะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
- ลดปริมาณไขมันในตับ
- เพิ่มระดับความหนาแน่นของกระดูก
- หัวใจแข็งแรงโดยการเพิ่ม HDL หรือโคเลสเตอรอลที่ดี ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือดแดง ความดันโลหิต และไตรกลีเซอไรด์
ลดอาการของโรคจิตเภท โรคอารมณ์สองขั้ว และภาวะซึมเศร้า
กรดไขมันโอเมก้า 6 ชนิดหนึ่งคือกรดแกมมา-ไลโนเลนิก (GLA) อาจช่วยลดอาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ นอกจากนี้ จากการศึกษาพบว่าการใช้ GLA สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็งเต้านมได้
อีกรูปแบบหนึ่งของกรดไขมันโอเมก้า 6 คือ conjugated linoleic acid (CLA) แสดงให้เห็นว่าสามารถลดมวลไขมันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพในการศึกษาชิ้นหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน จากการศึกษาพบว่าการบริโภคกรดไขมันโอเมก้า 9 อาจลดการอักเสบและเพิ่มความไวของอินซูลิน
ให้ความสำคัญกับปริมาณเสริม
แม้ว่าจะถือว่ามีประโยชน์มากมาย แต่การบริโภคอาหารเสริมกรดไขมันโอเมก้าก็อย่าหักโหมจนเกินไป ปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 6 ที่แนะนำคือไม่เกิน 4 เท่าของปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่บริโภค
ความเสี่ยงต่อสุขภาพบางประการจากการบริโภคอาหารเสริมมากเกินไป ได้แก่ ทำให้ร่างกายมีกลิ่นคาว เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือด สำหรับผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจอาจส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจได้ ด้วยเหตุผลนี้เอง การบริโภคอาหารเสริมต้องเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์เสมอ
นอกจากจะอยู่ในรูปของอาหารเสริมแล้ว กรดไขมันโอเมก้าที่ได้จากปลาหลายชนิดยังต้องเฝ้าระวัง เพราะมีความเสี่ยงที่จะเป็นพิษจากสารปรอท
เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่าลืมรวมอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้าไว้ในเมนูประจำวันของคุณ ให้ความสนใจกับฉลากบรรจุภัณฑ์และปริมาณที่แนะนำ หากคุณมีภาวะสุขภาพพิเศษ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมเหล่านี้